สิ้นสุดไปแล้วสำหรับ window dressing ในไตรมาสที่ 2 เป็นไปตามคาดสำหรับทางกองทุนซึ่งลากมาปิดสัญญา long ซีรี่ M เมื่อวันที่ 27/6/2556 ได้แบบไม่เจ็บตัวนัก สัปดาห์ต่อจากนี้ไปจะเริ่มเป็นไปตามปัจจัยตลาดโดยปกติแล้ว
นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่เริ่มทีแรงซื้อกลับของต่างชาติในช่วง 2 วันสุดท้ายของสัปดาห์ ทำให้ปัจจัยในการกดดันตลาดลดลงไปพอสมควร แต่เมื่อพิจารณากำลังซื้อที่ดันตลาดขึ้นมาในช่วงนี้จะเห็นได้ว่าตลาดได้มีการปรับตัวขึ้นมาโดยหุ้นกลุ่ม SET50 เป็นหลัก ประกอบกับในแต่ละวัน ยังไม่มีแรงซื้อกลับมาเพื่อดันดัชนีให้ไปต่อได้อย่างแข็งแรงการแกว่งตัวค่อนข้างมาก จึงมองแล้วว่าไม่น่าจะเป็นขาขึ้นได้ น่าจะเป็นการขยับตัวในกรอบ sideway ซะมากกว่า ประกอบกับมูลค่าดัชนี้ที่สูงขึ้นค่อนข้างมาก (จาก แนวรับ 1350 > 1450) แต่มูลค่าการซื้อขายกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นตามเท่าใดนัก ทำให้ดูแล้วไม่น่าจะมีการไปต่อได้ไกลซักเท่าไร น่าจะมีการสะสมหุ้นก่อนที่จะถึงขาขึ้นรอบใหม่ต่อไป
ในรูป TF week เริ่มมีแท่งเขียวขึ้นเป็นแท่งแรก แต่จากกราฟยังมองแนวโน้มเป็นขาลงอยู่การเกิดแท่งเขียวยังเป็นเพียง เทคนิเคิลรีบาวด์จากปัจจัย window dressing โดยมีแนวรับที่แข็งแกร่งที่ 1350 (EMA 200) โดยมีการทดสอบแนวรับ ถึง 3 ครั้ง แต่ก็ไม่ผ่าน ต้องรอการ confirm trend อีกครั้งเมื่อหมดปัจจัย window dressing แล้ว
ในตลาดช่วงนี้มองแล้วว่าน่าจะเริ่มซึมลง vol จะไม่คึกคักเหมือนก่อนหน้านี้ ประกอบกับการเล่นสัญญา tfex ที่มีแนวโน้มจะลดปริมาณลงค่อนข้างมากเพราะ IM สูงถึง 98,800 บาท ยิ่งทำให้การแกว่งตัวของดัชนีไม่น่าจะหวือหวาเหมือนก่อนหน้านี้
Trading strategy : รอซื้อแถวแนวรับ 1350 ทำกำไรแถวแนวต้าน 1480 ยังมองว่าน่าจะ sideway ไปซักระยะก่อนจะถึงขาขึ้นรอบใหม่
ปัจจัยกดดันตลาดในระยะกลาง-ยาว : การลดหรือถอน QE
วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556
วิเคราะห์การบริโภค
เขียนไว้ตั้งแต่วันที่ 22/6/2556
โดยพื้นฐานของเศรษฐกิจบ้านเราแล้ว ยังคงดูมีเสถียรภาพและน่าจะเดิน ต่อไปได้ครับ
โดยปัจจุบันดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังคงอยู่ในระดับ 73.8 แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจน่าจะดีขึ้น
แต่ในข้อเท็จจริงบางอย่างดังที่ ทุกท่านอาจจะได้สัมผัสและรู้สึก กันบ้างแล้วคือ
อัตราการบริโภคของครัวเรือนได้ล ดลง โดยสาเหตุหลักมาจาก
อัตราหนี้สินต่อครัวเรือนที่สูง ขึ้นโดยเทียบกับอัตรารายได้
(ข้อมูลจากสภาพัฒน์) เมื่อปี 55-56 รายได้คนทั้งประเทศขยายตัวที่ 7.3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นครับ แต่ยอดสินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วน บุคคลขยายตัวสูงถึง 21.6
เปอร์เซ็นต์
โดยสินเชื่อที่ขยายตัวมากที่สุด คือ สินเชื่อเกี่ยวกับ รถ และ
ที่อยู่อาศัยตามนโยบายของรัฐที่ เป็นตัวเร่งให้ประชาชนก่อหนี้เพิ่มขึ้นจนเกินตัว
และอีกปัจจัยที่มีผลกระทบโดยตรง ต่อรายได้ของประชาชน คือค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
(อาหาร, สินค้า, บริการ) ก็มีการปรับตัวขึ้นตามค่าแรงด้ว ยเช่นกัน
โดยรวมแล้วแม้คนจะมีเงินเดือนเพิ่มขึ้นก็จริงแต่ก็มีค่าใช้จ่าย ที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน
จึงไม่น่าแปลกใจนักหากผู้ที่ได้ ก่อสินเชื่อดังกล่าวมาแล้วจะมีกำลังบริโภคลดลงอย่างชัดเจน
ยอดขายรถในปี 2555 ทั้งหมด 1,436,335 คันเพิ่มจากปี 2554 ถึง 80.9%
และในช่วงนี้อาจจะไม่ใช่ปีที่ดี นักสำหรับการส่งออก
เพราะเศรษฐกิจทั่วโลกก็ยังคงชะล อตัวอยู่และมีการผันผวนของค่าเงินที่ค่อนข้างรุนแรง
การลงทุนหรือการขยายการผลิตสำหรับภาคเอกชนก็คงจะไม่มากนัก
โดยเฉพาะในภาคยานยนต์ปีนี้น่าจะ ชะลอตัวอย่างชัดเจน
ซึ่งตอนนี้ก้ได้เริ่มมีการทิ้งจ องรถไปแล้วบางส่วนและทางค่ายรถต่างก็ต้องรีบระบายรถออกเนื่องจา กยังมีออเดอร์ค้างส่งอยู่อีก
อาจจะเป็นช่วงที่โชคดีกว่าสำหรั บผู้ที่ไม่ได้ซื้อรถคันแรกในปีที่แล้วนะครับ
เพราะทางศูนย์น่าจะมีโปรโมชั่นเ พื่อการระบายรถแน่นอนครับ
อันนี้จะความเห็นของผมต่อสภาพกา รณ์นี้นะครับ ใครเห็นยังไงช่วยกัน
ติหรือเพิ่มเติมได้นะครับ
ในภาพรวมเศรษฐกิจตอนนี้ผมยังมอง ว่าเศรษฐกิจไม่น่ามีปัญหาอะไรหร อกครับ
1.สำหรับเรื่องของตลาดหุ้นมันเป็นปัจจัยเรื่องของ fund flow ชั่วคราวเท่านั้น ท่านที่สนใจลงทุนอาจเริ่มมองหา หุ้นในดวงใจไว้ตั้งแต่ตอนนี้ได้ แล้วนะครับ
ส่วนจังหวะการซื้อขายก็พิจารณากันเองครับ
2.สภาพเศรษฐกิจโดยรวม หากมองจากผลประกอบการโดยรวมจะพอ เห็นได้ว่า ก่อนหน้านี้มีบาง secter
เท่านั้นที่เติบโดตอย่างโดดเด่น
เช่น ด้านการเงินและสินเชื่อ ด้านยานยนต์
และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และวัสดุก่อสร้าง
กลุ่มสื่อสารและผู้ผลิตcontentต่างๆ ในขณะที่กลุ่มอื่นๆกลับทรงๆ
หรือบางกลุ่มก็แย่กว่าเดิมเพราะ ปัจจัยภายนอกกดดัน เช่นกลุ่ม คอมโมดิตี้
และอาหารทะเล แต่ต่อไปผมมองว่า กำลังบริโภคภายในประเทศจะเริ่มล ดลงเนื่องจากปัญหาหนี้สินครัวเรือนและค่าครองชีพที่สูงขึ้น
ซึ่งจะทำให้คนลดรายจ่ายฟุ่มเฟือ ยลง
โดยน่าจะเริ่มสังเกตุได้จากการไ ปที่หรูหราน้อยลงหรือไปก็ใช้จ่า ยกันในปริมาณที่น้อยลง
จะส่งผลให้สภาพคล่องในตลาดน่าจะ หายไปพอสมควรครับ
ดังที่บางท่านอาจจะรู้สึกกันได้
3.เมื่อสภาพคล่องหายไป ไม่มีการหมุนเวียนของเงินให้เกิ ดกำไร
หรือการลงทุนขึ้น
เงินกู้ที่ได้ปล่อยไปก่อนหน้านี้ก็อาจจะมีปัญหาทำให้เกิดการผิด นัดชำระหนี้กันและจะเกิดปัญหาบา นปลาย
ผมก็ขอจบการวิเคราะห์แค่นี้ครับ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านมาจน ถึงตรงนี้ครับ
โดยตอนนี้ผมมองปัจจัยเสี่ยงเพีย งข้อเดียวของเศรษฐกิจไทยคือเรื่ องปัญหาหนี้สินครัวเรือนที่ค่อน ข้างสูง
เป็นปัจจัยกดดันการเจริญเติบโตใ นประเทศค่อนข้างมาก
ในขณะที่ปัจจัยภายนอกประเทศไม่ไ ด้สู้ดีนัก หรือไม่ก็อาจจะต้องรอถึง AEC
กันเลยทีเดียว
โดยพื้นฐานของเศรษฐกิจบ้านเราแล้ว ยังคงดูมีเสถียรภาพและน่าจะเดิน
โดยปัจจุบันดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังคงอยู่ในระดับ 73.8 แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจน่าจะดีขึ้น
แต่ในข้อเท็จจริงบางอย่างดังที่
(ข้อมูลจากสภาพัฒน์) เมื่อปี 55-56 รายได้คนทั้งประเทศขยายตัวที่ 7.3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นครับ แต่ยอดสินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วน
โดยสินเชื่อที่ขยายตัวมากที่สุด
ยอดขายรถในปี 2555 ทั้งหมด 1,436,335 คันเพิ่มจากปี 2554 ถึง 80.9%
และในช่วงนี้อาจจะไม่ใช่ปีที่ดี
อันนี้จะความเห็นของผมต่อสภาพกา
ในภาพรวมเศรษฐกิจตอนนี้ผมยังมอง
1.สำหรับเรื่องของตลาดหุ้นมันเป็นปัจจัยเรื่องของ fund flow ชั่วคราวเท่านั้น ท่านที่สนใจลงทุนอาจเริ่มมองหา
2.สภาพเศรษฐกิจโดยรวม หากมองจากผลประกอบการโดยรวมจะพอ
3.เมื่อสภาพคล่องหายไป ไม่มีการหมุนเวียนของเงินให้เกิ
เงินกู้ที่ได้ปล่อยไปก่อนหน้านี้ก็อาจจะมีปัญหาทำให้เกิดการผิด
ผมก็ขอจบการวิเคราะห์แค่นี้ครับ
วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2556
ถัวขาขึ้น VS ถัวขาลง
ต้องย้อนถึงประโยชน์หรือ เหตุผลของแต่ละวิธีกันก่อนในเบื้องต้น
โดยหลักๆแล้ว วิธีการซื้อถัวเป็นการกระจายความเสี่ยงอย่างหนึ่งเพื่อไม่ให้การซื้อหุ้นในแต่ละครั้งได้ราคาที่เหมาะสมและเพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนในครั้งเดียวนั่นเอง เหมาะสำหรับนักลงทุนรายย่อยที่ยังไม่ค่อยเจนสังเวียนตลาดหุ้นเท่าใดนัก
วิธีการลงทุนให้มีกำไรในตลาดหุ้นนั้นมี 2 วิธีครับ คือซื้อถูกเอาไปขายแพง (ต่างกับ future) หรือไม่ก็ลงทุนเพื่อรอผลตอบแทนเป็นเงินปันผลออกมาครับ
ถ้าตามหลักการแล้ว การซื้อถัวขาขึ้นจะใช้สำหรับ นักลงทุนแนวเทคนิคครับ เพราะแนวเทคนิคจะถือคติว่า "ซื้อแพงเพื่อไปขายที่แพงกว่า" เมื่อใดที่แนวโน้มเปลี่ยน นั่นคือเวลาขายทำกำไรครับ ดังนั้นสำหรับการถัวขาขึ้นสำหรับนักเทคนิคจึงไม่ค่อยการกลัวการซื้อที่ราคาสูงขึ้นเท่าไหร่ ถ้านับการซื้อถัวแต่ละไม้ของนักเทคนิคแล้วเหมือนกับตั้งจุด safe ขึ้นไปในแต่ละครั้งของราคาที่สูงขึ้นไปนั่นเอง เมื่อถึง safe ใดที่ขาดทุน อาจจะทำกำไรออกมาเลย แต่ถ้าแนวโน้มยังไม่เปลี่ยนก็จะปล่อย let profit run ไปเรื่อยจนกว่าแนวโน้มจะเปลี่ยนครับ
ส่วนการถัวขาลง มักจะใช้กับนักลงทุนแนว VI หรือผู้ที่มองแนวต้านออกอย่างชัดเจน แต่ผมจะเน้นไปทาง VI ภาพจะชัดกว่าและเป็นไปตามหลักของแนว VI นะครับ หลักของแนว VI คือ "ซื้อเมื่อกิจการมีค่า MOS (magin of safety = ส่วนต่างความปลอดภัยของราคา) ที่เหมาะสม" (จริงๆหลักการเค้ายาวกว่านี้เยอะครับ แต่ผมสรุปสั้นๆให้เข้าใจง่าย) หรือซื้อเมื่อเห็นว่ากิจการนั้นมีมูลค่าที่ถูกมากแล้วนั่นเอง ดังนั้นเมื่อถึงจุดที่เค้าคิดว่าถูกแล้วเมื่อราคาลงอีกก็กล้าซื้อได้อีกครับ เพราะส่วนลึกของชาว VI เชื่อมั่นว่า ราคาหุ้นย่อมต้องวิ่งเข้าหาผลประกอบการที่แท้จริงครับ ก็คือได้ทั้งราคาถูกแถมมีปันผลไม่น้อย จึงไม่ค่อยแปลกใจนักที่ชาว VI ทั้งหลายต้องเป็นนักลงทุนระยะยาวผู้กล้าหาญที่จะลงทุนเมื่อ ตลาดซบเซาถึงที่สุดครับ และก็ไม่ต้องแปลกใจที่ชาว VI จะมีคำกล่าวที่ว่าถ้าไม่สามารถทนเห็น ราคาหุ้น-50% ได้ก็ไม่ควรเป็น VI ครับ (50%ที่ว่านี่ เป็นส่วนกำไรซะส่วนมากนะครับ)
ในจุดนี้ที่ตลาดขึ้นมาสู่สภาวะที่เหมาะสมแก่มูลค่าแล้วผู้ลงทุนก็แทบจะไม่เหลือ MOS กันแล้วการจะถัวขาลง ณ ตลาดที่สูงขนาดนี้จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเสี่ยงครับ เว้นแต่จะมองเห็นแนวรับออกชัดเจนครับ ซึ่งในทางปฏิบัติทำได้ยาก และสถานการณ์ ณ ปัจจุบันไม่ได้เอื้อให้ มี MOS มากมายถึงขนาดให้เราถือยาวอย่างสบายใจได้ หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมาอาจทำให้เราเสียหายได้ ในขณะที่ผลตอบแทนตลาดก็ลดลงเรื่อยๆตามมูลค่าตลาดที่สูงขึ้น
จริงๆก็ไม่ได้สนับสนุนทางเทคนิคเต็มตัวนะครับ แต่พูดตามหลักการทั่วไปคือ เมื่อตลาดขึ้นสู่ที่สูง ราคาที่สูงขึ้น ความเสี่ยงก็สูงตาม แต่ผลตอบแทนกลับลดลง หรือถ้าเราคิดว่าเป็นนักลงทุนที่แท้จริงก็ยังมีวิธีสุดคลาสสิค คือ DCA (dollar cost average) ครับ โดยให้เรากำหนดการลงทุนเท่าๆกันเป็นช่วงๆตลอดระยะเวลาที่ลงทุน เช่น เราจะลงทุนในตลาด โดยซื้อหุ้น .... เป็นจำนวนเงิน..... ทุกเดือน เป็นต้น หลักการนี้จะทำให้นักลงทุนไม่ต้องจับจังหวะตลาดใดๆ เพราะการลงทุนแบบนี้ผลการลงทุนในช่วงที่ดีจะมาช่วยเฉลี่ยกับช่วงผลลงทุนที่แย่ได้ ทำให้พอร์ตของเราเติบโตไปตามตลาดได้ แต่ต้องเลือกหุ้นดีๆนะครับ
สุดท้ายนี้ ขอให้เลือกตัดสินใจกันเองครับว่าเราจะเป็นแบบไหน จะซื้อถัวขึ้นหรือถัวลงหรือลงทุนแบบ DCA ไปเลย ไม่ว่าวิธีใดล้วนมีหลักการใช้ของมัน หวังว่าบทความนี้คงทำให้หลายๆเลิกหลงทางบ้างครับ
โดยหลักๆแล้ว วิธีการซื้อถัวเป็นการกระจายความเสี่ยงอย่างหนึ่งเพื่อไม่ให้การซื้อหุ้นในแต่ละครั้งได้ราคาที่เหมาะสมและเพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนในครั้งเดียวนั่นเอง เหมาะสำหรับนักลงทุนรายย่อยที่ยังไม่ค่อยเจนสังเวียนตลาดหุ้นเท่าใดนัก
วิธีการลงทุนให้มีกำไรในตลาดหุ้นนั้นมี 2 วิธีครับ คือซื้อถูกเอาไปขายแพง (ต่างกับ future) หรือไม่ก็ลงทุนเพื่อรอผลตอบแทนเป็นเงินปันผลออกมาครับ
ถ้าตามหลักการแล้ว การซื้อถัวขาขึ้นจะใช้สำหรับ นักลงทุนแนวเทคนิคครับ เพราะแนวเทคนิคจะถือคติว่า "ซื้อแพงเพื่อไปขายที่แพงกว่า" เมื่อใดที่แนวโน้มเปลี่ยน นั่นคือเวลาขายทำกำไรครับ ดังนั้นสำหรับการถัวขาขึ้นสำหรับนักเทคนิคจึงไม่ค่อยการกลัวการซื้อที่ราคาสูงขึ้นเท่าไหร่ ถ้านับการซื้อถัวแต่ละไม้ของนักเทคนิคแล้วเหมือนกับตั้งจุด safe ขึ้นไปในแต่ละครั้งของราคาที่สูงขึ้นไปนั่นเอง เมื่อถึง safe ใดที่ขาดทุน อาจจะทำกำไรออกมาเลย แต่ถ้าแนวโน้มยังไม่เปลี่ยนก็จะปล่อย let profit run ไปเรื่อยจนกว่าแนวโน้มจะเปลี่ยนครับ
ส่วนการถัวขาลง มักจะใช้กับนักลงทุนแนว VI หรือผู้ที่มองแนวต้านออกอย่างชัดเจน แต่ผมจะเน้นไปทาง VI ภาพจะชัดกว่าและเป็นไปตามหลักของแนว VI นะครับ หลักของแนว VI คือ "ซื้อเมื่อกิจการมีค่า MOS (magin of safety = ส่วนต่างความปลอดภัยของราคา) ที่เหมาะสม" (จริงๆหลักการเค้ายาวกว่านี้เยอะครับ แต่ผมสรุปสั้นๆให้เข้าใจง่าย) หรือซื้อเมื่อเห็นว่ากิจการนั้นมีมูลค่าที่ถูกมากแล้วนั่นเอง ดังนั้นเมื่อถึงจุดที่เค้าคิดว่าถูกแล้วเมื่อราคาลงอีกก็กล้าซื้อได้อีกครับ เพราะส่วนลึกของชาว VI เชื่อมั่นว่า ราคาหุ้นย่อมต้องวิ่งเข้าหาผลประกอบการที่แท้จริงครับ ก็คือได้ทั้งราคาถูกแถมมีปันผลไม่น้อย จึงไม่ค่อยแปลกใจนักที่ชาว VI ทั้งหลายต้องเป็นนักลงทุนระยะยาวผู้กล้าหาญที่จะลงทุนเมื่อ ตลาดซบเซาถึงที่สุดครับ และก็ไม่ต้องแปลกใจที่ชาว VI จะมีคำกล่าวที่ว่าถ้าไม่สามารถทนเห็น ราคาหุ้น-50% ได้ก็ไม่ควรเป็น VI ครับ (50%ที่ว่านี่ เป็นส่วนกำไรซะส่วนมากนะครับ)
ในจุดนี้ที่ตลาดขึ้นมาสู่สภาวะที่เหมาะสมแก่มูลค่าแล้วผู้ลงทุนก็แทบจะไม่เหลือ MOS กันแล้วการจะถัวขาลง ณ ตลาดที่สูงขนาดนี้จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเสี่ยงครับ เว้นแต่จะมองเห็นแนวรับออกชัดเจนครับ ซึ่งในทางปฏิบัติทำได้ยาก และสถานการณ์ ณ ปัจจุบันไม่ได้เอื้อให้ มี MOS มากมายถึงขนาดให้เราถือยาวอย่างสบายใจได้ หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมาอาจทำให้เราเสียหายได้ ในขณะที่ผลตอบแทนตลาดก็ลดลงเรื่อยๆตามมูลค่าตลาดที่สูงขึ้น
จริงๆก็ไม่ได้สนับสนุนทางเทคนิคเต็มตัวนะครับ แต่พูดตามหลักการทั่วไปคือ เมื่อตลาดขึ้นสู่ที่สูง ราคาที่สูงขึ้น ความเสี่ยงก็สูงตาม แต่ผลตอบแทนกลับลดลง หรือถ้าเราคิดว่าเป็นนักลงทุนที่แท้จริงก็ยังมีวิธีสุดคลาสสิค คือ DCA (dollar cost average) ครับ โดยให้เรากำหนดการลงทุนเท่าๆกันเป็นช่วงๆตลอดระยะเวลาที่ลงทุน เช่น เราจะลงทุนในตลาด โดยซื้อหุ้น .... เป็นจำนวนเงิน..... ทุกเดือน เป็นต้น หลักการนี้จะทำให้นักลงทุนไม่ต้องจับจังหวะตลาดใดๆ เพราะการลงทุนแบบนี้ผลการลงทุนในช่วงที่ดีจะมาช่วยเฉลี่ยกับช่วงผลลงทุนที่แย่ได้ ทำให้พอร์ตของเราเติบโตไปตามตลาดได้ แต่ต้องเลือกหุ้นดีๆนะครับ
สุดท้ายนี้ ขอให้เลือกตัดสินใจกันเองครับว่าเราจะเป็นแบบไหน จะซื้อถัวขึ้นหรือถัวลงหรือลงทุนแบบ DCA ไปเลย ไม่ว่าวิธีใดล้วนมีหลักการใช้ของมัน หวังว่าบทความนี้คงทำให้หลายๆเลิกหลงทางบ้างครับ
วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556
เตือนใจ Tfex
เตือนใจสำหรับผู้เล่น tfex ครับ
โดยจุดประสงค์หลักแล้ว Tfex เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยง ครับ ใช้สำหรับผู้ที่มีหุ้นใน set50 หรือ SSF ทั้งหลาย เพื่อที่จะได้ไม่ต้องขายหุ้นออก มาเมื่อถึงเวลาที่หุ้นนั้นราคาต กซึ่งอาจจะทำให้หุ้นในตลาดยิ่งต กหนักรุนแรงกว่าเดิม ซึ่งจุดประสงค์ในปัจจุบันได้ต่า งไปจากวัตถุประสงค์แต่แรกค่อนข้ างมาก โดยภายหลังได้กลับมาเป็นเครื่อง มือในการเก็งกำไรของรายย่อยบางส ่วน แต่ก็คงเสียเปรียบพวกรายใหญ่ที่ มีกำลังเงินและหุ้น ที่สามารถกำหนดทิศทางตลาดได้ เพื่อนำมาใช้หาประโยชน์จากคนที่ วางสัญญาผิดทาง และstop loss เพื่อปิดสัญญานั่นเอง
ลักษณะการทำงานของตัว Tfex จะมีลักษณะเป็น Zero sum game เพาะสัญญา tfex จะเกิดขึ้นได้จะต้องมีผู้ short long ตรงกันที่ราคานั้ นั่นคือหากมีคนนึงได้เงินจะต้อง มีคนที่เสียเงินครับ ในจำนวนที่เท่าเทียมกันครับ และเนื่องด้วยเอกลักษณ์เฉพาะของ ตัวสัญญาที่ทำกำไรได้ทั้งขาขึ้น -ลงนั่นเอง ในทางกลับกันเราก็จะเสียเงินได้ ทั้งขาขึ้น-ลงเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่บางคนจะม องว่า tfex คือบ่อนถูกกฏหมายดีๆนี่เอง ผู้ที่ได้เปรียบที่สุดในเกมนี้ก ็คือโบรกเกอร์ครับ ยิ่งมีการแกว่ง หรือผันผวนมากเท่าไหร่ คนก็ยิ่งเปิดสัญญาปิดสัญญากันบ่ อยขึ้น จึงไม่ค่อยแปลกใจนักหากช่วงที่ไ ม่มีทิศทางที่ชัดเจน กลุ่มสถาบันจะเป็นกลุ่มที่ทำตลา ดผันผวนจนจับทิศทางกันไม่ได้
และด้วย leverage ที่ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับสมัยก่อน levarage อยู่ที่ราวๆ จุดนึงถึง2% การแกว่งตัวจึงไม่ได้มากนัก แต่ปัจจุบันที่อัตราทดเท่าเดิม แต่ค่าการแกว่งตัว 1 จุดเพียง 1% เศษๆเท่านั้นการขยับตัวของหุ้นใ หญ่บางตัวเพียงเล็กน้อยย่อมมีผล ต่อดัชนีอย่างมีนัยยะสำคัญ การควบคุมราคาหุ้นใหญ่บางตัวจึง ทำให้ดัชนีแกว่งได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งทำให้รายใหญ่ได้เปรียบรายย่ อยมากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะช่วงที่ไม่ค่อยมีvol แต่กลับมีการแกว่งที่รุนแรงขนาด นี้
ผมแนะนำในช่วง sideway แบบนี้ให้ผู้ที่รับตวามเสี่ยงได ้ต่ำ ควรอยู่เฉยในช่วงนี้ครับ ส่วนผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูงค วรมีจุดทำกำไรและ stop loss ที่ดีครับ
**หมายเหตุ**
-tfex เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยง ครับ ไม่ใช่เพิ่มความเสี่ยง
-tfex ทำกำไรได้ทั้ง 2 ขา แต่ก็ขาดทุนได้ทั้ง 2 ขาเช่นกัน
-ผู้เล่น tfex ระยะสั้นเปรียบกับนักเก็งกำไร (โดนกินค่าคอมเยอะ)ผู้เล่นตามแน วโน้ม เปรียบเสมือน VI ที่ถือสัญญาตามแนวโน้ม (นานๆซื้อขายทีตามแนวโน้ม)
-tfex ไม่เล่นไม่ได้เงิน แต่ก็ไม่เสียเงินเช่นกัน
-เราเล่น tfex แต่อย่าให้ tfex เล่นเราครับ เล่นแล้วเครียดได้ไม่คุ้มเสียสุ ขภาพจิตหรอกครับ
-ตลาดหุ้นยังเปิดทุกวัน หุ้นก็มีขึ้นมีลงทุกวัน ไม่ต้องกลัวไม่ได้เปิดสัญญาหรอก ครับ
สุดท้ายนี้ที่เขียนบทความนี้ก็ห วังจะให้ผู้ที่กำลังจะเข้ามาเล่ นหรือผู้เล่นอยู่ได้ตระหนักถึงส ิ่งเหล่านี้ครับ เพื่อที่ทุกคนจะได้อยู่รอดได้ใน ตลาดนี้ครับ
ปัจจุบัน ค่า IM ปัจจุบันคือ 98,800 เริ่มใช้ตั้งแต่ 28/6/2556
โดยจุดประสงค์หลักแล้ว Tfex เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยง
ลักษณะการทำงานของตัว Tfex จะมีลักษณะเป็น Zero sum game เพาะสัญญา tfex จะเกิดขึ้นได้จะต้องมีผู้ short long ตรงกันที่ราคานั้ นั่นคือหากมีคนนึงได้เงินจะต้อง
และด้วย leverage ที่ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับสมัยก่อน levarage อยู่ที่ราวๆ จุดนึงถึง2% การแกว่งตัวจึงไม่ได้มากนัก แต่ปัจจุบันที่อัตราทดเท่าเดิม แต่ค่าการแกว่งตัว 1 จุดเพียง 1% เศษๆเท่านั้นการขยับตัวของหุ้นใ
ผมแนะนำในช่วง sideway แบบนี้ให้ผู้ที่รับตวามเสี่ยงได
**หมายเหตุ**
-tfex เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยง
-tfex ทำกำไรได้ทั้ง 2 ขา แต่ก็ขาดทุนได้ทั้ง 2 ขาเช่นกัน
-ผู้เล่น tfex ระยะสั้นเปรียบกับนักเก็งกำไร (โดนกินค่าคอมเยอะ)ผู้เล่นตามแน
-tfex ไม่เล่นไม่ได้เงิน แต่ก็ไม่เสียเงินเช่นกัน
-เราเล่น tfex แต่อย่าให้ tfex เล่นเราครับ เล่นแล้วเครียดได้ไม่คุ้มเสียสุ
-ตลาดหุ้นยังเปิดทุกวัน หุ้นก็มีขึ้นมีลงทุกวัน ไม่ต้องกลัวไม่ได้เปิดสัญญาหรอก
สุดท้ายนี้ที่เขียนบทความนี้ก็ห
ปัจจุบัน ค่า IM ปัจจุบันคือ 98,800 เริ่มใช้ตั้งแต่ 28/6/2556
วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556
ตรรกะวิบัติ QE
ในตอนนี้คนเหมือนจะชอบ QE โดยพยายามแช่งไม่อยากให้เ ศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้น ทั้งๆที่เค้าเป็นพี่ใหญ่อันดับ 1 ของโลก แต่ความจริงแล้วยิ่งเศรษฐกิจของสหรัฐดีมากขึ้นเ ท่าไหร่ เศรษฐกิจโลกก็มีแนวโน้มดีขึ้นอย ่างยั่งยืนครับ ไม่อยากให้ทุกคนมอง QE(เงินกงเต๊ก)ที่เป็นเงินของปล อมเป็นพระเจ้าครับ อยากให้มองตัวสหรัฐที่กำลังดีวั นดีคืนนี่แหละของจริง
แต่ตอนนี้คนหลงมัวเมากับ QE จนมองว่าเงิน QE นี่แหละเป็นเงินแท้จับต้องได้ โดยจุดประสงค์หลักของ QE แล้วเพื่อให้นำเงินมากระตุ้นเศร ษฐกิจให้มีการใช้จ่ายหมุนเวียน แต่ ตอนนี้กลับนำเงินที่ว่ามาใช้แสว งหากำไรซะมากกว่า
อันที่จริงผมไม่ได้เกลียด QE นะครับ ชอบซะด้วยซ้ำ แต่ทุกคนควรตระหนักไว้เสมอว่า เงินส่วนนี้มันออกมาโดยไม่มีมูล ค่ารองรับ แต่บังเอิญที่มันเป็นเงินสกุลหล ักของโลก มันจึงยังคงสถานะได้ ดังนั้นเมื่อใดที่QE ต้องย้อนกลับสู่สภาพที่แท้จริง หวังว่าทุกคนคงไม่เป็นเหยื่อเงิ นกงเต๊ก ที่มากอบโกยเอาเงินจริงบ้านเราไ ปนะครับ
แต่ตอนนี้คนหลงมัวเมากับ QE จนมองว่าเงิน QE นี่แหละเป็นเงินแท้จับต้องได้ โดยจุดประสงค์หลักของ QE แล้วเพื่อให้นำเงินมากระตุ้นเศร
อันที่จริงผมไม่ได้เกลียด QE นะครับ ชอบซะด้วยซ้ำ แต่ทุกคนควรตระหนักไว้เสมอว่า เงินส่วนนี้มันออกมาโดยไม่มีมูล
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)