หน้าเว็บ

วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

นักลงทุนกับความเสี่ยง

          เป็นคำพูดที่มีมาช้านานแล้ว และมันก็เป็นจริงในระดับหนึ่งครับ แต่สิ่งเหล่านี้จะมีผลน้อยลงกับนักลงทุนผู้ช่ำชองในตลาดความเสี่ยงจะลดน้อยลงตามความสามารถที่เพิ่มขึ้น โดยจะแบ่งความเสี่ยงเป็นแนวคิดได้ตามแนวการลงทุน ก็คือ

          1.แนวเก็งกำไร (Speculate)  คติประจำใจ : มีกำไรที่ไหนไปที่นั่น ,ซื้อแพงเพื่อไปขายแพงกว่า
          เป็นนักลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงสุด มีลักษณะการเล่นหุ้นตามข่าวหรือตามกระแสทุกอย่าง แต่มีการจำกัดความเสี่ยงโดยการ Cut loss ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับนักลงทุนแบบนี้ครับ โดยนักเก็งกำไรก็ยังแบ่งเป็นหลายระดับตามหลักของการเข้าทำกำไร ได้แก่
          - ตามระยะเวลาที่เก็งกำไร เช่น รายวัน รายสัปดาห์ หรืออาจจะเป็นรอบเก็งกำไรในช่วงต่างของปี โดยลักษณะการเข้าเก็งกำไรของกลุ่มนี้จะมี จุดเข้าออกที่ค่อนข้างชัดเจนตามระยะเวลาที่เข้าทำกำไร แต่อาจมีจ้อด้อยที่การทำกำไรอาจไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่าใดนัก
          - ตามกระแสเงินทุน Fundflow โดยจะมองตามกระแสเงินทุนต่างชาติเป็นหลัก เพราะถือว่าเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลสูงต่อปัจจัยราคาหุ้นโดยตรง และมีรอบการเข้าออกที่ค่อนข้างชัดเจน มีนักลงทุนไม่น้อยที่อิงกระแสนี้เช่นกัน
          - ตามกระแสข่าวดี/ร้ายที่มีต่อหุ้น ลักษณะนี้มักจะต้องเป็นข่าววงในก่อน และเมื่อกระจายสู่สาธารณะก็จะเป็นช่วงที่หมดรอบไปแล้ว ปริมาณของกำไรขึ้นอยู่กับการเข้าถึงข่าวและความแน่นอนของข่าว
          แต่ไม่ว่าจะเข้าทำกำไรในลักษณะใดก็ตามต้องมีวินัยที่ดีในการ cut loss เสมอไม่ว่า ตลาดจะเป็นเช่นไรก็ตาม และต้องมีการ take profit หรือ protect profit ไว้เช่นเดียวกัน

          2.แนวเทคนิค (Technical)  คติประจำใจ : กราฟคือพระเจ้า
          เป็นนักลงทุนที่มีความเสี่ยงรองลงมา เพราะโดยพื้นฐานของทาง technical แล้วมักไม่ได้มองที่พื้นฐานของตัวหุ้นเลย สิ่งที่เชื่อถือได้สำหรับนักเทคนิคคือ กราฟ และโวลุ่มการซื้อขายเท่านั้น ลักษณะการเข้าทำกำไรของนักเทคนิคคือรอจนสัญญาณชัดเจนแล้วจึงลงมือครับ ส่วนสัญาณที่ใช้ก็ขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละคน ตัวอย่างเช่น
          -MACD มีความแน่นอนต่อแนวโน้มค่อนข้างสูง แต่สัญญาณถือได้ว่าช้าที่สุดในบรรดา Indicator ทั้งหลาย เหมาะกับการทำกำไรตามแนวโน้มขาขึ้นและขาลง แต่ไม่เหมาะกับช่วง Sideway
          -Stochastic มีความเร็วของสัญญาณต่อการขึ้นลงของราคาค่อนข้างเร็ว มักจะใช้ประกอบกับ indicator ตัวอื่นเพื่อยืนยันสัญญาณมากกว่า แต่ใช้ทำไรได้ดีในช่วง sideway ครับ
          -EMA/SMA มีความเร็วของสัญญาณขึ้นอยู่กับการวางระบบในการเทรดของแต่ละคน หากวางระบบได้ดีแล้วมีการทดสอบ back test กับระบบจนมั่นใจแล้ว ความเสี่ยงที่มีก็จะถูกจำกัดอยู่ในระบบที่เราวางไว้ครับ และอาจจะต้องมีการ cut loss บ้างเมื่อระบบเกิด false signal (ให้สัญญาณผิดพลาด)
          โดยหลักของนักเทคนิคแล้ว ถือว่าเป็นนักลงทุนที่ทำผลตอบแทนได้ค่อนข้างดี เพราะโดยหลักแล้วนักเทคนิคมักไม่ทำกำไรออกมาจนกว่าระบบจะส่งสัญญาณ ทำให้มี let profit run อย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่ขาย ณ จุดสูงสุดเช่นกันยกเว้นแต่มีการกำหนดจุดทำกำไรแน่นอนแล้วเท่านั้น
          โดยทั่วไปนักลงทุนทั้ง 2 ประเภทมักทำกำไรได้ในทั้งขาขึ้นและขาลงโดยมีการเล่นทำกำไรทั้งใน tfex Option derivative-warrant

          3.แนวพื้นฐาน (Fundamental)  คติประจำใจ : ราคาหุ้นต้องวิ่งเข้าสู่ปัจจัยพื้นฐานเสมอ
          เป็นนักลงทุนที่ความเสี่ยงเริ่มน้อยลง แต่ในการเลือกลงทุนในหุ้นแต่ละตัวนั้นก็ต้องทำการบ้านในการดูพื้นฐานกิจการ งบการเงิน และปัจจัยทางเศรษฐกิจไว้บ้าง เพื่อประกอบการตัดสินใจ ส่วนมากมักจะเป็นนักลงทุนในระยะกลางจนถึงระยะยาว
นักลงทุนกลุ่มนี้มักจะไม่ค่อยต่อราคาหุ้นมากมาย ขอเพียงแค่ให้มี MOS บ้างและมีผลตอบแทนที่เหมาะสมกับความต้องการก็พอ และจากการที่เลือกสรรค์หุ้นอย่างดีแล้วจึงต้องมั่นใจว่ากิจการที่เราเป็นเจ้าของนั้นยังมีพื้นฐานที่ดีอยู่ ก็ยังคงถือหุ้นตัวนั้นต่อไปตราบเท่าที่พื้นฐานยังไม่เปลี่ยน โดยไม่สนกับราคาหุ้น ณ ปัจจุบัน เพราะไม่ว่าหุ้นจะขึ้นลงอย่างไรมันย่อมวิ่งเข้าหามูลค่าพื้นฐานของตัวกิจการเสมอ ตราบเท่าที่กิจการยังเติบโตต่อไป ราคาหุ้นในระยะยาวก็ย่อมต้องสูงขึ้นตามนั่นเอง
           แต่ความเสี่ยงสำหรับนักลงทุนประเภทนี้ก็คือ มูลค่าหุ้นที่อาจลดลงชั่วคราว โดยปัจจัยภายนอกมากระทบซะมากกว่า หรืออีกอย่างก็คือ เสียโอกาสของเงินในการทำกำไรเท่านั้นเอง โดยจุดนี้แหละเป็นบททดสอบสำหรับนักลงทุนระยะยาวครับ
         
          4.แนวมูลค่า (Value Investor)  คติประจำใจ : เจอของถูกเมื่อไหร่ค่อยเจอกัน
          จะคล้ายๆกับนักลงทุนพื้นฐาน แต่นักลงทุนแนวนี้จะแสวงหามูลค่าของตัวกิจการ และเล็งเห็นถึงศักยภาพของกิจการอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับมูลค่าของตัวกิจการที่ต้องการ โดยมากนักลงทุนแนวนี้จะมีแนวคิดที่ค่อนข้างก้าวหน้ากว่ากลุ่มอื่น คือจะไปมองหากิจการลงทุนที่มีมูลค่าที่ถูกแต่มีความสามารถทำธุรกิจที่ดีได้ในอนาคต ในขณะที่คนอื่นๆยังมองไม่เห็น ทำให้ซื้อหุ้นได้ในราคาที่ถูกเพราะไม่ต้องไปแย่งซื้อกับใคร
          และผลตอบแทนที่ได้ของนักลงทุนกลุ่มนี้มักจะสูงกว่ากลุ่มอื่นๆทั้งหมด เพราะได้กิจการมาในราคาที่คนอื่นไม่สนใจ แต่เมื่อกิจการเริ่มแสดงศักยภาพตามที่นักลงทุนมองไว้ราคามักจะวิ่งขึ้นไปหลายเท่าตัวเลยทีเดียว และสำหรับความเสี่ยงของนักลงทุนประเภทนี้ค่อนข้างต่ำ ความเสี่ยงเดียวที่น่าจะมี คือ การที่มองธุรกิจที่ผิดพลาดเองเท่านั้น

          5.นักค้ากำไร (Arbitrage)  คติประจำใจ : อะไรก็ได้ขอให้มีกำไร
          โดยนิยามของนักค้ากำไรก็คือ การทำกำไรโดยไม่มีความเสี่ยงหรือความเสี่ยงน้อยมากๆ นักลงทุนลักษณะนี้ต้องใช้ความรู้และความสามารถเฉพาะตัวที่ค่อนข้างสูงเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจ บวกกับต้องมีวิสัยทัศน์ในการทำไรที่ค่อนข้างแม่นยำเพื่อให้ความเสี่ยงนั้นต่ำที่สุด กล่าวคือความสามารถของนักค้ากำไรที่เก่งนั้นจะทำกำไรได้สูงในขณะที่ความเสี่ยงต่ำมาก ยกตัวอย่างเช่น การ เปิด Short - long spread ในสัญญา tfex , การทำ tender offer , การซื้อ-ขาย-แปลงหุ้นwarrant ครับ
          
          6.เจ้ามือ (Host)  คติประจำใจ : จุดไฟล่อแมงเม่า
          เป็นนักลงทุนที่ผู้เขียนไม่สนับสนุนที่สุดครับ เพราะเจ้ามือจะใช้หลักการในการเก็งกำไรโดยไม่สนใจพื้นฐานหุ้น ใช้ vol ดันราคาเท่านั้นครับ ซึ่งมันจะเป็น zero sum game คือต้องมีคนได้-เสียในเกมนี้ ใครลุกช้าเสียเงินครับ โดยหลักการของเจ้ามือจะแบ่งออกเป็น 3 ช่วง
          1)ช่วงเก็บหุ้น ช่วงนี้โวลุ่มจะบางๆ มีโวลุ่มเข้าบ้างเล้กน้อยแต่ไม่มีการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น จนกว่าจะเก็บหุ้นจนพอใจ
          2)ช่วงลากโชว์ หรือ เรียกแขก จะเป็นช่วงที่มีการเริ่มทำราคาขึ้นไปสูงขึ้นโดยมีโวลุ่มสนับสนุน โดยช่วงนี้ก็จะมีการปล่อยข่าวดีๆหรือข่าวลับวงในออกมาเพื่อกระตุ้นราคา ลักษณะการลากก็ทำได้ไม่ยาก โยนไปโยนมาระหว่างเจ้ามือเอาก็ได้ครับ และให้ติดอยู่ใน most active นานๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของนักลงทุน แต่ช่วงลากนี้ต้องมีการตกลงกับผู้ถือหุ้นใหญ่ หรือผู้บริหารไว้ก่อนเพื่อมิให้เกิดการสกัดขากันเกิดขึ้นครับ
          3)ช่วงระบายของ เมื่อนักลงทุนรายย่อยเริ่มเข้ามาผสมโรงตามที่คาดไว้แล้วก็ทำการลากต่อไปยังเป้าหมาย แล้วจึงเริ่มระบายของออก โดยค่อยๆทยอยขายไปเรื่อยๆปล่อยให้รายย่อยทำงานต่อไป จนเมื่อใดที่นักลงทุนรายย่อยเริ่มหมดแรงแล้ว ก็ทำการปิดรอบครับ ขายทิ้งทุบทุกราคา เพราะขายเท่าไหร่ก็กำไร เมื่อหุ้นทิ้งดิ่งอย่างแรงพร้อมโวลุ่มก็เป็นสัญญาณหมดรอบครับ ใครลุกช้าก็ติดดอยไป
          โดยทั่วไปแล้วการปั่นมักจะทำตอนช่วงที่ตลาดคึกคักสุดขีด เพราะนักลงทุนหน้าใหม่เยอะและไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมพวกนี้จึงทำให้ทำกำไรได้ง่าย ส่วนผู้ชำนาญแล้วจะรู้ว่าหุ้นไหนเป็นอย่างไรดีมักจะเล่นสนุกสนานตามน้ำซะมากกว่า

                                           ~~~ แล้วคุณละครับเป็นนักลงทุนแบบไหน ~~~

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น