คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่แต่ละคนเข้ามาลงทุนนั้นต้องการผลตอบแทนอย่างแน่นอน แต่เราจะทราบได้อย่างไรว่าการลงทุนแบบไหนจะให้ผลตอบแทนอะไรบ้างและคุ้มค่ากับความเสี่ยงที่มีหรือไม่ ดังนั้นเราจึงควรทำความรู้จักของผลตอบแทนในการลงทุนแบบต่างๆกันเพื่อให้เราจัดสรรค์เงินลงทุนของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยเราจะเริ่มต้นจากผลตอบแทนของการลงทุนในแต่ละแบบก่อน โดยเริ่มจากดอกเบี้ย ผลตอบแทนของดอกเบี้ยจะเป็นสิ่งที่ทุกคนค่อนข้างคุ้นเคยกันอยู่แล้ว เพราะได้พบเจออยู่ประจำในชีวิตประจำวัน โดยนิยามของดอกเบี้ยก็คือการที่เรานำเงินของเราไปให้แก่ผู้ที่ต้องการใช้(ผู้กู้)นำเงินของเราไปเพื่อลงทุนหรือหาผลประโยชน์ โดยให้ค่าตอบแทนแก่เราในรูปแบบของเงินดอกเบี้ย ดอกเบี้ยที่เราได้พบเจออยู่เสมอ เช่น การกู้ยืมระหว่างกัน การฝากธนาคาร การซื้อพันธบัตร และหุ้นกู้ของบริษัทต่างๆ โดยผลตอบแทนและความเสี่ยงที่แตกต่างกันออกไปดังนี้
-การกู้ยืมระหว่างกัน ตามกฎหมายแล้วให้คิดดอกเบี้ยได้ไม่เกิน 15% ต่อปี หรือถ้าไม่ได้ตกลงกันไว้ก็ให้ใช้ 7.5%ต่อปี ความเสี่ยงคือ อาจเกิดการเบี้ยวหนี้ได้
-ฝากธนาคาร ในปัจจุบันทางธนาคารก็ได้มีพัฒนาด้านเงินฝากขึ้นมาหลากหลายเพื่อตอบสนองแก่การลงทุนในระยะต่างๆ ตามแต่ความประสงค์ของผู้ฝากเงินครับ ผลตอบแทนก็แตกต่างไปตามข้อกำหนดของแต่ละที่ ความเสี่ยง ถือว่าค่อนข้างน้อย โดย ณ ปัจจุบันมีการประกันความเสี่ยงของเงินต้นให้ที่ 1 ล้านบาทต่อคนต่อธนาคาร ในกรณีที่ธนาคารเกิดล้มขึ้นมาครับ เรากระจายความเสี่ยงได้โดยการเปิดบัญชีหลายธนาคารได้ครับ
-พันธบัตร เปรียบเสมือนเราเป็นเจ้าหนี้รัฐบาล ผลตอบแทนจะสูงขึ้นตามอายุพันธบัตรที่มากขึ้นครับ และโดยส่วนมากก็มักจะมีอายุค่อนนาน จึงเหมาะกับผู้ที่ลงทุนระยะยาวครับ ความเสี่ยงแทบจะไม่มี มีเพียงแต่การเสียโอกาสที่จะนำเงินนั้นมาลงทุนอย่างอื่นเท่านั้นเอง
-หุ้นกู้ของบริษัท ก็คือบริษัทมาของกู้เงินจากเราเพื่อนำเงินไปใช้จ่ายนั่นเอง โดยผลตอบแทนและความเสี่ยงของหุ้นกู้จะขึ้นกับค่า credit rating ของหุ้นกู้นั้นๆ โดยหุ้นกู้ที่ credit rating สูง จะได้ผลตอบแทนต่ำกว่า แต่ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ต่ำ ส่วนหุ้นกู้ที่มี credit rating ต่ำจะให้ผลตอบแทนที่สูง แต่มีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้สูง ซึ่งแบ่งได้ดังนี้ AAA , AA , A ,BBB, BB ,B ,C ,D ระดับที่เหมาะแก่การลงทุนขึ้นไปควรอยู่ระดับ BBB ขึ้นไปครับ
ต่อไปเป็นผลตอบแทนในตลาดหุ้น โดยสมัยก่อนที่ยังไม่มีนวัตกรรมทางการเงินมากมายนัก การลงทุนในตลาดหุ้นจะมีเพียงลักษณะเดียวคือการซื้อ-ขายหุ้นของ บริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไปการลงทุนในรูปแบบเดิมก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อตอบสนองต่อการบริหารความเสี่ยง หรือการแสวงหากำไรแก่นักลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ ดังเช่นในตลาดบ้านเราขณะนี้ก็เริ่มมีนวัตกรรมการลงทุนในหลายๆตลาด ได้แก่
1.ตลาดหุ้น
2.DW (Derivative Warrant)
3.ตลาด Tfex
4.ตลาด Option
โดยในส่วนนี้จะกล่าวถึงการลงทุนเป็นหลักจึงไม่ขอเอ่ยถึงการเก็งกำไรหรือการบริหารความเสี่ยงในตลาด DW Tfex และ Option ครับ
ตลาดหุ้น มีผลตอบแทนแก่ผู้ลงทุน 2 ชนิดคือ ส่วนเพิ่มมูลค่าหุ้น (Capital gain) และเงินปันผล (Dividend)
- Capital gain ปัจจัยที่มีผลต่อราคาหุ้น มี 2 อย่างด้วยกัน คือ ผลประกอบการ ซึ่งเป็นปัจจัยชี้นำมูลค่าหุ้นได้ในระยะยาว และ แรง Demand-Supply ในหุ้นตัวนั้น ซึ่งเป็นปัจจัยชี้นำราคาหุ้นในระยะสั้น ดังนั้นสำหรับนักลงทุนแล้วหากเรามั่นใจว่าหุ้นที่เราคัดสรรค์มาอย่างดีแล้วนั้นจะมีการเติบโตต่อไปในอนาคต ราคาหุ้นในอนาคตย่อมต้องสูงขึ้นด้วยอย่างแน่นอนครับ ซึ่งจะต่างจากนักเก็งกำไรในการลงทุนนั้นหากผู้เข้ามาแสวงหากำไรในราคาหุ้น (capital gain) ย่อมมีความเสี่ยงสำหรับการผันผวนของราคาหุ้นในระยะสั้นครับ
-Dividend จะมากน้อยขึ้นอยู่กับผลประกอบการ และนโยบายการจ่ายปันผลของบริษัท โดยทั้ง 2 สิ่งนี้จะเป็นปัจจัยสะท้อนไปที่ราคาหุ้นด้วยเช่นกัน โดยนักลงทุนบางท่านก็อาจะเน้นที่ปันผลเป็นหลักอย่างเดียวก็มี หรือที่เรียกกันว่า หุ้นห่านทองคำ นั่นเอง
โดยเราจะสังเกตุได้ว่า ผลตอบแทนจากดอกเบี้ยจะคล้ายคลึงกับผลตอบแทนจากเงินปันผลมากทีเดียว แต่หากมองภาพในระยะสั้นแล้วเราจะมองเห็นว่า ผลตอบแทนของเงินปันผลนั้นจะมีค่าเปลี่ยนแปลงไปตามมูลค่าของหุ้น ยกตัวอย่างเช่น
ที่ราคาหุ้น 10 บาท มีเงินปันผลให้ 1 บาท ดังนั้นผลตอบแทนของหุ้นตัวนี้มีค่าเท่ากับ 10% แต่เมื่อราคาหุ้นที่สูงขึ้น กลับจะทำให้ผลตอบแทนในรูปปันผลลดต่ำลง โดยเมื่อราคาหุ้นขึ้นไปที่ 20 บาท หากเราถือตั้งแต่ราคา 10 บาท เราก็จะได้ Capital gain ถึง 100% แต่ผลตอบแทนจากเงินปันผลจะลดลงเหลือเพียง 5% เท่านั้น ผู้เขียนจึงต้องการจะสื่อให้เห็นว่า การที่เราซื้อหุ้นปันผลในราคาที่สูงเพื่อคาดหวังกับเงินปันผลเพื่อเอาชนะอัตราดอกเบี้ยจึงเป็นเรื่องไม่ถูกต้องนัก ยกเว้นแต่เราจะมองว่ากิจการของหุ้นตัวนั้นจะมีการเติบโตที่ดีขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอนเพื่อให้เราถือหุ้นเพื่อการลงทุนได้อย่างสบายใจนั่นเอง
โดยความเสี่ยงสำหรับหุ้นห่านทองคำ ณ ราคาสูงก็คือ การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลต่อราคาหุ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ในกรณีที่หุ้นนั้นไม่ได้มีการเติบโตเพิ่มขึ้นจนทำให้อัตราเงินปันผลสูงขึ้นเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ย เมื่อผลตอบแทนน้อยลงก็น่าจะมีการไหลของเงินไปสู่ที่ผลตอบแทนดีกว่าและปลอดภัยกว่าครับ
ส่วนตัวผู้เขียนมองว่า ณ ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยน่าจะเป็นจุดต่ำสุดแล้ว และเริ่มมีสัญญาณขึ้นบ้างแล้วใน bond ของทางสหรัฐ ผู้เขียนจึงเขียนบทความนี้เพื่อเป็นอีกปัจจัยในการตัดสินใจเลือกหุ้นในการลงทุนครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น