หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

จุดเริ่มต้นการลงทุน

          ก่อนอื่นเราควรทำความเข้าใจก่อนว่าทำไมเราจึงควรต้องมีการลงทุน สาเหตุก็สืบเนื่องมาจากการที่โลกของเรานั้นมีคำว่าเงินเฟ้อครับ ก็ขออธิบายสักเล็กน้อยสำหรับผู้ที่ยังไม่รู้ว่าเงินเฟ้อนี้คืออะไร ถ้าเปรียบเทียบง่ายๆก็คือมูลค่าของเงินที่ใช้ซื้อของได้น้อยลง หรือซื้อต้องใช้เงินมากขึ้นในการซื้อของปริมาณเท่าเดิม ตัวอย่างเช่น ตัวเลขเงินเฟ้อที่ 2% สมมุติปีนี้เราซื้อาหาร 1 จานที่ 100 บาท แต่ในปีหน้าเราจะซื้ออาหาร 1 จานเราต้องใช้เงิน 102 บาทเพื่อซื้อหาร 1 จานเท่าเดิมครับ จากตัวอย่างเราจะเห็นได้ว่าหากเราถือเงินไว้เฉยๆโดยไม่นำเงินไปลงทุนหรือต่อยอดเงินนั้น มูลค่าของเงินจะลดลงเรื่อยๆครับ
          คำถามต่อมาคือเราจะลงทุนอย่างไรดี ในกรณีที่แย่ที่สุดสำหรับการลงทุนที่เราควรพิจารณาคือ การลงทุนนั้นต้องไม่ให้ผลตอบแทนที่แย่กว่าเงินเฟ้อ เพื่ออย่างน้อยมูลค่าเงินที่เรามีในปัจจุบันจะไม่ลดลงอย่างแน่นอนในอนาคตครับ

          *** บทนำ : บทความต่อจากเป็นเรื่องเกี่ยวกับการลงทุนไม่ใช่การเก็งกำไรครับ การลงทุนจึงหมายถึงเงินเย็นที่ไม่ได้ใช้และมีระยะเวลาลงทุนที่ค่อนข้างยาวครับ ***

          การลงทุนนั้นจะมีมากมายหลายแบบให้เลือกสรรค์ครับ ซึ่งเราอาจจะเคยได้ยินคำว่า High Risk- High Return กันมาบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งมันก็เป็นจริงในตลาดเงินครับ โดยการลงทุนจะแบ่งคร่าวๆเป็นประเภทใหญ่ๆดังนี้
          1.การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เป็นการลงทุนที่ค่อนข้างมีความแน่นอนที่สุดในเรื่องของการคงมูลค่าสินทรัพย์ โดยที่มูลค่าจะเติบโตขึ้นตามทำเลที่ตั้งและอัตราการเติบโตของพื้นที่โดยรอบ อัตราเติบโตขึ้นต่ำก็ควรเป็นไปตามการประเมินมูลค่าที่ดินซึ่งจะมีการประเมินราคาใหม่ทุกๆ 4 ปี และส่วนมากราคาก็มักจะปรับตัวขึ้นไปเรื่อยๆ  ข้อดีของการลงทุนนี้คือ มีความเสี่ยงค่อนข้างน้อย ส่วนข้อเสียก็คือ อาจต้องใช้เงินลงทุนที่ค่อนข้างสูง หรืออาจต้องรอจนกว่าจะมีการพัฒนาพื้นที่โดยรอบ ซึ่งจะใช้เวลาค่อนข้างนานทีเดียว แต่ผลตอบแทนก็มักจะคุ้มค่าครับ
          2.การลงทุนในเงินฝากหรือเงินกู้ การลงทุนในเงินฝากของสถาบันการเงินก็เหมือนกับเราเอาเงินไปให้ธนาคารยืมเพื่อไปใช้จ่ายหมุนเวียนในกิจการแล้วตอบแทนเราด้วยเงินดอกเบี้ยนั่นแหละครับ ส่วนพวกเงินกู้ ขอให้ทุกท่านไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความ ดอกเบี้ยกับผลตอบแทนในตลาดหุ้น ครับ
          3.การลงทุนในตลาดทุน ถือเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงกลางๆ โดยจะมีการลงทุนโดยเป็นผู้ถือหุ้นในตลาดหรือการไปซื้อกองทุนรวมก็ได้ครับ โดยส่วนนี้จะพูดถึงแนวทางสำหรับนักลงทุนครับ
          สำหรับคนที่อาจจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับธุรกิจในตลาดหุ้นและไม่มีเวลาติดตามตลาด การลงทุนในเบื้องต้นที่ง่ายและสะดวกที่สุดคือการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นครับ (ไม่นับกองทุนทอง น้ำมัน หรือกองทุนบริหารความเสี่ยงอื่นๆนะครับ) โดยกองทุนรวมจะมีผู้จัดการกองทุนที่มีความรู้ความสามารถที่จะมาบริหารเงินลงทุนให้เหมาะสมครับขึ้นอยู่นโยบายการลงทุนของกองทุนแต่ละกอง โดยมากแล้วมูลค่ากองทุนมักจะมีผลตอบแทนไปในทิศทางเดียวกับตลาด
          หลายๆท่านอาจมีคำถามว่าแล้วถ้าตลาดเป็นขาลงละกองทุนที่เราถืออยู่มูลค่าไม่ลดลงด้วยหรือ คำตอบคือลดลงเช่นเดียวกับผู้ที่ลงทุนด้วยตัวเองในหุ้นครับ แต่จากการศึกษาของ เบนจามิน เกรแฮม แล้วมีคำตอบสำหรับการแก้ปัญหานี้ให้ โดยการลงทุนในธุรกิจที่ดีและเหมาะสมเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเพียงพอผลตอบแทนที่ได้จากตลาดจะค่อยๆเพิ่มพูนขึ้นไปเรื่อยๆในระยะยาวครับ เพียงแต่ตลาดหุ้นมักจะมีช่วงที่ฮึกเหิม หรือหดหู่จนเกินควรแค่นั้นเอง ดังนั้นจึงได้มีการออกแบบวิธีการลงทุนที่เรียบง่ายแต่ได้ผล นั่นก็คือ DCA นั่นเองครับ
          DCA (Dollar Cost Average) เป็นวิธีที่ตัดปัญหาเรื่องอารมณ์และเหตุผลในการจับจังหวะการซื้อหุ้นทั้งหมดทิ้งไป โดยการกำหนดง่ายๆว่า เราจะลงทุนเป็นเงิน......บาท ในทุกๆ.... (วัน สัปดาห์ เดือน ปี) ก็แล้วแต่ความสามารถในการเก็บออมเงินทุนของแต่ละคน ซึ่งการลงทุนรูปแบบนี้การลงทุนในช่วงที่ราคาหุ้นต่ำเราก็จะลงทุนได้หุ้นมากขึ้นที่เงินเท่ากัน แต่เราจะได้หุ้นน้อยลงเมื่อราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้นการลงทุนในช่วงที่หุ้นราคาถูกจะมาถัวเฉลี่ยกับช่วงที่ราคาหุ้นสูงได้ทำให้มูลค่าหุ้นเป็นไปตามแนวโน้มการเติบโตของตัวบริษัทได้ ประกอบกับตรรกะง่ายๆที่ว่า ตราบเท่าที่กิจการยังเติบโตไปได้ราคาหุ้นและผลตอบแทนย่อมต้องเติบโตไปด้วยเช่นกัน แต่ส่วนนี้นักลงทุนต้องใช้ความรู้ความสามารถในการเลือกหุ้นที่ดีเข้าพอร์ตด้วยตนเอง ต่างจากผู้ถือกองทุนรวมที่จะมีผู้บริหารกองทุนจัดการให้อยู่แล้ว หากไม่ต้องการความเสี่ยงในการลงทุนมากนักก็ลงทุนได้ในหุ้นใหญ่ของตลาดได้ เช่น SET50 SET100 เป็นต้น
          ส่วนการลงทุนในตลาดทุนรูปแบบอื่นที่นิยมกันอย่างสูงก็คือแนว VI (Value Investor) หรือที่เรียกว่านักลงทุนเน้นคุณค่านั่นเอง เป็นการลงทุนโดยเทียบกับการซื้อมูลค่ากิจการต้องมีมูลค่า หรือการเจริญเติบโตที่ดีในอนาคตโดยราคาต้องสมเหตุสมผลหรือมีส่วนต่างความปลอดภัย (Margin of Safety) สำหรับมูลค่าหุ้นนั้น มาก-น้อยแล้วแต่แนวการลงทุน-การรับความเสี่ยงของแต่ละท่าน
         จริงๆแล้วสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นนั้นคนส่วนมากมักจะโดนความโลภเข้าครอบงำเมื่อเข้ามาอยู่ในตลาด สาเหตุก็เพราะมักมีคนอื่นมาโอ้อวดหรือเล่าสู่กันฟังเกี่ยวกับการได้กำไรจากการเล่นหุ้น ทำให้คนที่ลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนน้อยหรือขาดทุนเกิดความไขว้เขวในการลงทุนไปสู่การเก็งกำไรได้ โดยเราไม่ได้มองอีกมุมหนึ่งว่าคนที่กำไรนั้นชอบโอ้อวด แต่ก็มีคนที่ขาดทุนนั้นแต่ไม่กล้าออกตัวเพราะเหมือนกับแสดงว่าตัวเองไม่มีฝีมือในตลาดหุ้นเช่นกัน
         ดังนั้นสำหรับนักลงทุนที่แท้จริงแล้ว การลงทุนอยู่สม่ำเสมอในหุ้นที่ดีไม่ว่าตลาดจะเป็นเช่นไรก็ตามคุณจะได้ผลตอบแทนที่ดีแน่นอน เพียงแต่ส่วนใหญ่คนมักจะเจ็บตัว และมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อตลาดหุ้น ทำให้หันหลังจากการลงทุนเสียหมด จนไม่อาจประสบความสำเร็จในการลงทุนได้
       
         บทสรุปสำหรับการลงทุนนี้ ไม่ว่าจะลงทุนในรูปแบบใดล้วนมีผลตอบแทนทั้งสิ้นเพียงแต่ลงทุนให้ถูกจังหวะ ถูกเวลา และถูกที่ เราก็จะได้ผลตอบแทนที่เหมาะสมกับแผนที่เราตั้งไว้ครับ อย่าลืมนะครับ เงินเก็บไว้เฉยๆมันด้อยค่าลงทุกวัน ให้มันออกไปทำงานซะบ้างครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น